ทารกเสียชีวิตในครรภ์
สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องตระหนักและควรปฎิบัติคือการไปฝากครรภ์ตามนัด คุณแม่หลายๆคน อาจไม่เห็นความสำคัญของการฝากครรภ์ คุณแม่ทราบหรือไม่ ขณะตั้งครรภ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับลูกน้อยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านแม่ด้วย การไปฝากครรภ์เป็นการตรวจเช็คทั้งสุขภาพลูก และสุขภาพแม่ไปพร้อมๆกัน นอกจากจะได้รับการตรวจสุขภาพจากการไปฝากครรภ์แล้ว เจ้าหน้าที่แผนกฝากครรภ์ยังมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดูแลครรภ์ด้วย คลอบคลุมไปถึงการสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วย คุณแม่ทราบหรือไม่ ขณะตั้งครรภ์ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ตลอดเวลามีทั้งปัจจัยด้านคุณแม่และตัวลูกด้วยรายละเอียดคุณแม่ต้องรู้ตามนี้
รวมสาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ ที่แม่ท้องต้องระวัง
1. สาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ที่เกิดจากมารดา
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเอสแอลอี (SLE) ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงทารกไม่เพียงพอ
- อายุมากขณะตั้งครรภ์
- น้ำหนักเยอะขณะตั้งครรภ์ หรืออ้วนมากขณะตั้งครรภ์
- ตั้งครรภ์ทารกหลายคน เช่น ครรภ์แฝด
- ได้รับอุบัติเหตุขณะตั้งครรภ์
- ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด
2. สาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ที่เกิดจากทารก
- มีความผิดปกติของโครโมโซม มีความพิการ
- ติดเชื้อในครรภ์
- ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction)
- การขาดออกซิเจนเรื้อรัง เช่น จากรกเสื่อม
3. สาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ที่เกิดจากสายสะดือ
- สายสะดือพันกัน
- สายสะดือย้อยหรือโผล่แลบ
- รกลอกตัวก่อนกำหนด
- รกเสื่อม
มารดาจะมีอันตรายหรือไม่หาก ทารกเสียชีวิตในครรภ์ ?
ความเสี่ยงต่างๆ หรือผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน หรืออันตรายต่อมารดาจากภาวะทา รกเสียชีวิตในครรภ์ มีดังนี้
- เสี่ยงต่อการได้รับการทำหัตถการต่างๆ เช่น การขูดมดลูก การผ่าตัดคลอดบุตร เสียเลือด มดลูกทะลุ
- ติดเชื้อในโพรงมดลูก
- เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ (ตกเลือด) เลือดออกแล้วหยุดยาก ที่มักจะเกิดในกรณีที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์นานกว่า 1 เดือน เนื่องจากมีการแข็งตัวของเลือดผิด ปกติ (Consumptive coagulopathy) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมาก แต่มักเกิดในกรณีที่ทารกในครรภ์อายุค่อนข้างมากและเสียชีวิตมานานเกิน 4 สัปดาห์
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทารกเสียชีวิตในครรภ์?
อาการผิดปกติ ที่สตรีตั้งครรภ์สังเกตได้ เมื่อทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ มีดังนี้
- อาการของการตั้งครรภ์ เช่น แพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน เต้านมคัดตึง หายไป
- น้ำหนักตัวมารดาไม่ขึ้น หรือ กลับลดลง
- ทารกที่เคยดิ้นในครรภ์แล้ว หยุดดิ้นไป
- ครรภ์ไม่โตขึ้น (หน้าท้องไม่โตขึ้น) และกลับเล็กลงด้วย
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
แพทย์วินิจฉัยทารกในครรภ์เสียชีวิตได้อย่างไร?
เมื่อไปฝากครรภ์ แพทย์จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจครรภ์ว่า โตเหมาะสมกับอายุครรภ์ที่มากขึ้นหรือไม่ ที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะสามารถใช้เครื่องช่วยฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกได้ (Doppler sonic aids) จะมีการตรวจประเมินเช่นนี้ทุกครั้งที่ไปฝากครรภ์ หากแพทย์ตรวจพบว่าขนาดของครรภ์ไม่โตขึ้นตามที่ควรจะเป็น ฟังไม่ได้ยินการเต้นของเสียงหัวใจทารกโดยใช้เครื่องช่วยฟัง น้ำหนักมารดาไม่เพิ่มขึ้น แพทย์จะส่งไปตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) เพื่อดูการเต้นของหัวใจทารก ซึ่งเป็นการวินิจฉัยทารกในครรภ์เสียชีวิตได้แม่นยำที่สุด
หากคุณแม่มีอาการผิดปกติ ไม่ควรเก็บข้อสงสัยต่างๆไว้ในใจ แนะนำให้รีบพบแพทย์ ด่วนนะคะ อย่ามองว่าเป็นการเสียเวลาหรือกลัวแพทย์ดุ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่
1. การตรวจความผิดปกติหัวใจของทารกในครรภ์ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องรู้
2. สายสะดือพันคอทารกในครรภ์แม่จะรู้ได้อย่างไร
3. แม่รู้ได้อย่างไรว่าทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team