ทารกสูดสำลักขี้เทา
ทารกสูดสำลักขี้เทา เป็นกลุ่มอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นในเด็กแรกเกิด จากการที่มีการสูดสำลักเอาขี้เทาของตนเองเข้าไปตั้งแต่ที่เด็กอยู่ในครรภ์มารดา ตามปกติเด็กก็ควรจะถ่ายขี้เทาประมาณ 18-24 ชั่วโมง หลังคลอดซึ่งถือว่าปกติ
ทารกสูดสำลักขี้เทามีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
จริง ๆ ขี้เทานี้ ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือ อุจจาระของเด็กทารกแรกเกิดอยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติเด็กจะสร้างเองได้ตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ ตั้งแต่ประมาณช่วงเดือนที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ เด็กก็จะเริ่มสร้างขี้เทาออกมาในลำไส้ใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะอยู่ในนั้น ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรให้เกิดปัญหาตามมาจนกว่าจะมีภาวะบางอย่างที่เกิดปัญหาขึ้น
ทารกสูดสำลักขี้เทาพบมากน้อยเพียงใด
ในประเทศไทยเท่าที่ทราบยังไม่มีใครรวบรวมสถิติจริง ๆ จัง ๆ ต้องใช้สถิติของต่างประเทศมาอ้างอิงอุบัติการณ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะการสูดสำลักขี้เทา ทารกจะมีอุจจาระออกมาอยู่ในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่แรก และลักษณะอุจจาระนี้ที่เรียกว่าขี้เทา ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลายอย่างที่ทำให้มีลักษณะ มันเหนียวเขียวจนเกือบจะดำ เราจึงเรียกว่าเป็นขี้เทา ซึ่งจะมีตั้งแต่ไขของตัวเด็กเอง หรือเป็นขนอ่อน ๆ ของตัวเด็กเอง น้ำคร่ำ หรืออะไรที่ปนอยู่ด้วยกัน ถ้าเด็กอยู่ในครรภ์มารดาแล้วไม่มีปัญหาอะไรระหว่างตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีการถ่ายขี้เทาตัวนี้ออก หรือว่าเด็กบางคนหรือการตั้งครรภ์ของคนที่มีปัญหา ก็อาจจะทำให้เด็กถ่ายอุจจาระนี้ออกมาปะปนอยู่ในน้ำคร่ำ อุบัติการณ์ของน้ำคร่ำของคุณแม่มีขี้เทาปน พบได้ประมาณร้อยละ12-13 ในสถิติของต่างประเทศ และจากเด็กที่มีน้ำคร่ำนี้อยู่ในขณะที่ตั้งครรภ์พบได้ประมาณร้อยละ 5-10 ที่อาจจะมีภาวะสูดสำลักขี้เทานี้เข้าไป เพราะฉะนั้นอุบัติการณ์จริง ๆ มันคงดูไม่เยอะมาก เพียงแต่ว่าเราเปรียบเทียบกันว่าเรารู้ว่ามีการถ่ายขี้เทาออกมาในน้ำคร่ำ
ทารกสูดสำลักขี้เทา มีสาเหตุเกิดจาก
การที่เด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ถ่ายขี้เทาออกมาก่อนกำหนด ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงทารก อาจจะเกิดจากสาเหตุของโรคประจำตัวของคุณแม่ หรือสาเหตุของตัวทารกเองหรือสาเหตุจากอะไรก็ตามที่ไปทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกผ่านสายสะดือแม่น้อยลงแล้วก็จะมีปฏิกิริยาทางระบบประสาทกระตุ้นทำให้เด็กมีการถ่ายขี้เทาออกมา ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้มีหลายสาเหตุ เช่น ในคุณแม่ที่อาจจะพบปัญหาจากการเจ็บป่วยบางอย่างที่มีผลกระทบไปยังการไหลเวียนของเลือดที่ไปที่ลูกก็จะไปกระตุ้นให้มีภาวะนี้เกิดขึ้นได้
ทารกสูดสำลักขี้เทาอันตรายหรือไม่
ปัญหาของคุณแม่ก็จะเป็นเรื่องการเจ็บป่วยของตัวเองมากกว่า แต่ว่าปัญหาของทารกที่มีการถ่ายขี้เทาออกมาแล้วส่วนใหญ่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวลูก จริง ๆ แล้วภาวะนี้พบได้น้อยในเด็กที่คลอดใกล้ครบกำหนดหรือเกินกำหนด เพราะฉะนั้น ผลที่กระทบส่วนหนึ่งที่เราทราบก็คือ เมื่อเด็กทารกมีอายุครรภ์มากขึ้น สภาพเลือด หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหรือแม้กระทั่งสภาพของรกของตัวแม่เองจะเสื่อมสภาพไปด้วย ซึ่งหมายถึงการเกินเวลา ตรงนี้เองที่จะเป็นปัญหาค่อนข้างมาก อันตรายที่เกิดกับทารกเองจริง ๆ จึงมากกว่า นั้นก็คือ มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด เด็กจะมีอาการหายใจหอบ เหนื่อย หายใจไม่สะดวก คือจะมีลักษณะเหมือนปอดอักเสบ เพราะว่าตัวขี้เทานี้มีลักษณะเหนียวมาก ถ้าเด็กสูดสำลักเข้าไปแล้ว โอกาสที่จะไปอุดตันทางเดินหายใจ ถุงลมเล็ก ๆ หรือระดับที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ ในปอด ก็ค่อนข้างจะอันตราย ซึ่งถ้าอุดเต็มที่อากาศไม่ผ่านเลย ปอดส่วนนั้นก็จะมีปัญหาการแลกเปลี่ยนก๊าซ แต่ในบางส่วนที่อาจจะอุดไม่เต็ม 100% คือ อากาศจะผ่านเข้าได้ แต่มักจะออกไม่ได้ ก็เหมือนกับว่าทำให้มีปอดโป่งพองออก เช่น ปอดบางส่วนอาจมีส่วนแฟบบ้าง บางส่วนโป่งพองบ้าง หลังจากนั้นก็จะมีการอักเสบของเนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งมีผลทำให้เด็กหายใจหอบหลังคลอด ถ้าเป็นมาก ๆ บางครั้งก็จะทำให้เด็กขาดออกซิเจน แล้วก็จะไปกระทบต่อการไหลเวียนเลือดไปอีกต่อหนึ่ง
การวินิจฉัยการ สูดสำลักขี้เทา
จริง ๆ ถ้าจะตรวจสอบว่ามีขี้เทาปนอยู่ในน้ำคร่ำหรือไม่คงยาก เพราะส่วนใหญ่คุณแม่ที่จะมาพบแพทย์ด้วยเรื่องว่า คุณแม่มีน้ำเดินก่อนคลอด แล้วพอแพทย์ตรวจก็จะพบว่า น้ำคร่ำที่มีลักษณะเหมือนขี้เทาปน การที่แพทย์จะไปเจาะน้ำคร่ำ เพื่อเป็นการตรวจว่ามีขี้เทาปนหรือไม่ จะต้องมีข้อบ่งชี้ที่สำคัญ เพราะการที่จะไปเจาะถุงน้ำ จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการคลอดอย่างหนึ่ง ถ้าเวลาไม่เหมาะสม ก็คือว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถเจาะถุงน้ำคร่ำได้ ก็คงไม่มีโอกาสทราบว่ามีน้ำคร่ำที่ปนขี้เทาหรือไม่ เพียงแต่ว่าในรายที่มีการฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินสภาพเด็กในครรภ์ เพราะว่าภาวะในการที่เด็กทารกมีการถ่ายขี้เทาออกมา มักจะมีปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ อย่างทีทำให้มีการขาดเลือดไปเลี้ยงทารก บางครั้งเราได้ทราบสาเหตุแต่เด็กบางรายอาจจะแสดงอาการก่อนคลอด เช่น การเต้นของหัวใจผิดปกติ เต้นช้าลง เต้นเร็วขึ้น ในช่วงที่มีการเข้าสู่ระยะของการคลอด อันนี้จะเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเด็กจะมีอะไรที่เตือนให้เราทราบว่าตอนนี้เด็กมีปัญหา แพทย์ก็จะต้องมีการประเมินเป็นระยะ มีการวางแผนว่าควรทำอย่างไรต่อไป เพื่อดูแลให้เด็กดีขึ้น
ทารกสูดสำลักขี้เทารักษาได้หรือไม่ อย่างไร
เริ่มตั้งแต่เราทราบว่าทารกคนนี้มีการถ่ายขี้เทาออกมา เช่น มีน้ำเดินและทราบตำแหน่ง หรือทราบในระหว่างที่ทำการคลอด สูติแพทย์จะมีการช่วยเหลือให้สภาพของคุณแม่ดีขึ้น ตั้งแต่ระยะที่การคลอด เริ่มให้ออกซิเจนเมื่อเด็กจะคลอดออกมาโดยสมบูรณ์ทั้งตัวแพทย์จะทำการดูดน้ำคร่ำที่ปนเปื้อนขี้เทา ที่อาจจะค้างอยู่ในช่องปากของเด็กหรือลำคอของเด็กออกมาด้วยลูกยางหรือสายยาง ก่อนที่เด็กคลอดตัวออกมาชัดเจน เพื่อไม่ให้เด็กสูดสำลักมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้รุนแรงขึ้น เมื่อเด็กคลอดออกมาชัดเจน เพื่อไม่ให้เด็กสูดสำลักเข้ามามากขึ้น เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะประเมินสภาพเด็กว่า มีอาการของภาวะสูดสำลักขี้เทาหรือไม่ เช่น เด็กอาจจะมีอาการหายใจผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ก็จะถ่ายภาพเอกซ์เรย์หรือถ่ายภาพรังสีปอดเพื่อให้การรักษาต่อไป
ระยะเวลาในการรักษาทารกสูดสำลักขี้เทา
หากอาการไม่รุนแรง คือมีอาการหายใจลำบากแต่อาการดีขึ้นเมื่อเราให้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น โดยที่เด็กอาจจะไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็ประมาณ 7-10 วัน เพราะบางครั้งแพทย์อาจจะต้องมีการประเมินว่าทำไมจึงมีอาการสูดสำลัก เพราะอาจจะมีอาการติดเชื้อแอบแฝงอยู่ ควรจะต้องให้ยาปฏิชีวนะด้วย แต่ในอีกกลุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่รุนแรงมากขึ้น ในกลุ่มนี้เมื่อภาวะตัวขี้เทาไปอุดกั้นทำอันตรายมากขึ้น เด็กก็อาจจะไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้เพียงพอ ในกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมักจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเรียกว่า ต้องอยู่ในหออภิบาลของทารกแรกเกิด เพื่อมีการดูแลอย่างใกล้ชิดมาก ๆ ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจจะตามมา หรือถ้าเกิดมีภาวะแทรกซ้อนของระบบไหลเวียนเลือดค่อนข้างมาก บางครั้งอาจจะต้องใช้เวลานานในการรักษา ซึ่งอาจจะเกินสัปดาห์ขึ้นไป
ทารกสูดสำลักขี้เทา มีภาวะแทรซ้อนหรือไม่
ผลแทรกซ้อนต่าง ๆ จะอยู่กับสาเหตุว่าทำไมเด็กมีอาการถ่ายขี้เทา ยกตัวอย่างเช่น แพทย์ไม่ทราบอะไรเลยว่าทำไมเด็กต้องถ่ายขี้เทาออกมา เราอาจจะประเมินคร่าว ๆ จากสภาพเด็กที่ออกมาในครั้งแรกว่าเด็กขาดออกซิเจนมากน้อยเพียงใด ถ้าขาดออกซิเจนมาก แพทย์จำเป็นต้องบอกให้คุณพ่อ คุณแม่ว่าโอกาสที่จะมีภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ก็คงมีบ้าง เช่น สติปัญญา คงต้องติดตามเป็นระยะ ๆ ในรายที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย ต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงและจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจค่อนข้างสูง ก็อาจจะมีผลแทรกซ้อนต่อระบบการทำงานของการหายใจ คือสมรรถภาพของปอดที่ต่อเนื่องมาได้เหมือนกัน
ทารกสูดสำลักขี้เทาสามารถป้องกันได้หรือไม่
สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะแนะนำก็คือ คุณแม่ควรมาตรวจครรภ์แต่เนิ่นๆ เพื่อให้สูติแพทย์ได้ดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ถ้ามีปัญหาหรือมีอาการผิดปกติอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ จะได้มีการวางแผนล่วงหน้าและอาจจะมีการช่วยเหลือเพื่อลดความรุนแรงให้น้อยลง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การฝากครรภ์และมาตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าคุณแม่มีการฝากครรภ์และมีการดูแลสุขภาพครรภ์ที่ดี ถ้าสมมุติว่าเด็กมีปัญหาอะไร สูติแพทย์และกุมารแพทย์ก็จะช่วยดูแลอย่างเต็มความสามารถ เพื่อจะป้องกันทารกที่เกิดออกมามีปัญหาเรื่องผลแทรกซ้อนตามมาได้
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่
1. เด็กม้ามโต ภาวะผิดปกติที่แม่ต้องสังเกตให้เป็น
2. ลูกถ่ายเหลวใช่ลูกท้องเสียหรือไม่ แม่มือใหม่ควรรู้
3. ลูกซีด ภาวะลูกซีด สังเกตอย่างไร พ่อแม่มือใหม่ควรรู้
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team