ยาที่คนท้องห้ามกิน
ยาที่คนท้องห้ามกิน ส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์
องค์การอาหารและยาได้มีการแบ่งขั้นของยาเป็น A B C D และ X เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยากับกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ ไว้ดังนี้คะ
ลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ A ข้อมูลจากการศึกษาในคนไม่พบว่ามีอันตรายต่อทารกในครรภ์
ลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ B ข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองไม่พบอันตรายต่อลูกสัตว์ในครรภ์แต่ไม่มีข้อมูลในคน หรือ มีข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ามีผลกระทบต่อลูกสัตว์ในครรภ์แต่ข้อมูลจากการศึกษาในคนไม่พบว่ามีอันตรายต่อทารกในครรภ์
ลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ C มีข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองว่ามีผลกระทบต่อลูกสัตว์ในครรภ์แต่ยังไม่มีข้อมูลจากการศึกษาในคน หรือ ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาทั้งในคนและในสัตว์
ลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ D มีข้อมูลว่าจากการศึกษาในคนว่ามีผลกระทบต่อทารกในครรภ์แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ยายังเป็นที่ยอมรับได้อยู่
ลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ X มีข้อมูลชัดเจนว่ามีอันตรายต่อทารกในครรภ์
ยาดูดซึมสู่ทารกในครรภ์ได้อย่างไร
การใช้ยาส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยเพราะยาในกระแสเลือดของแม่จะซึมผ่านรก เข้าสู่กระแสเลือดของทารกในครรภ์ได้ เช่นเดียวกับน้ำ สารอาหารและออกซิเจนที่ทารกได้รับทางสายสะดือ ยาจะส่งผลต่อทารกในครรภ์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ อายุครรภ์ ชนิดของยา และขนาดของยาที่แม่ได้รับ
อายุครรภ์ กับ อันตรายจากยา
หลังจากจากผ่านกระบวนการปฎิสนธิแล้วเซลล์ได้ที่รับการปฏิสนธิจะเดินทางมาฝังตัวที่ผนังมดลูก เจริญเติบโตไปเป็นทารก ปกติทารกในครรภ์แม่จะมีอายุอยู่ประมาณ 9 เดือน จึงจะคลอดออกมาเป็นทารก ในระหว่าง 9 เดือนที่ทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์แม่นี้ ยาอาจส่งผลต่อทารกและเกิดความรุนแรงได้ตามอายุครรภ์ดังนี้
- เริ่มตั้งแต่วันที่ปฏิสนธิถึงวันที่ 20 ของทารก (ประมาณ 3 สัปดาห์แรก) ถ้าแม่ได้รับยา หรือสารเคมีที่มีอันตรายต่อทารก อาจทำให้เกิดการแท้งหรือทารกเสียชีวิตได้
- ระหว่างสัปดาห์ที่ 3-8 หลังการปฏิสนธิ หากแม่ตั้งครรภ์ ได้รับยาที่มีอันตรายจะส่งผลต่อระบบอวัยวะทุกส่วนของทารก ซึ่งอาจทำให้ผิดปกติได้ มีอาการไม่ครบ 32 เพราะในระยะนี้เป็นระยะที่ทารกในครรภ์ เริ่มแบ่งตัวแยกออกเป็นอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- ช่วงเดือนที่ 4 – 9 ทารกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเสริมอวัยวะต่างๆ ที่แยกอย่างเด่นชัดในช่วง 3 เดือนแรกให้เจริญเติบโตต่อจนเป็นอวัยวะที่สมบูรณ์ ถ้าใคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้รับยาจะส่งผลต่อความสมบูรณ์ของอวัยวะ
ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้าง
ชนิดและขนาดของยา เป็นปัจจัยสำคัญต่อความพิการของทารกในครรภ์ ตัวอย่างยาที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ที่พบสถิติบ่อยที่สุดมีดังต่อไปนี้
1. ยา Isotretinoin ซึ่งเป็นยากินใช้รักษาสิวหัวช้างและสิวชนิดรุนแรง และโรคสะเก็ดเงิน อาจทำให้ทารกไม่สมประกอบ ผิดรูปร่างไปได้
2. ยารักษาโรคมะเร็ง อาจเป็นพิษต่อทารก ทำให้เกิดปากแหว่ง เพดานโหว่ และผิดรูปร่างได้
3. ฮอร์โมนเพศ อาจส่งผลต่อการพัฒนาการของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ และการสืบพันธุ์ของทารกให้ผิดปกติได้
4. ยากันชัก เช่น phenytoin, carbamazepam อาจส่งผลผิดปกติต่อหัวใจ รูปใบหน้า และปัญญาอ่อนได้
5. ยารักษาโรคไมเกรนกลุ่ม ergotamine ส่งผลต่อการบีบตัวของมดลูก อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดหรือแท้งได้
6. ยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ซึ่งเป็นยาแก้ปวดลดไข้ แก้อักเสบ อาจส่งผลรบกวนการแข็งตัวของเลือด และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในขณะตั้งครรภ์ได้
7. ยารักษาต่อมไทรอยด์ผิดปกติ เช่น propylthiouracil อาจทำให้เกิดคอพอกเป็นพิษได้
8. ยาต้านแบคทีเรียกลุ่มเตตราไซคลีน มีผลไปเกาะกับกระดูกและฟัน ทำให้เด็กมีกระดูกและฟันไม่สมบูรณ์ ฟันเป็นสีเหลืองและฟันผุได้ง่าย
ยาที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ยาที่มีการใช้บำบัดอาการเจ็บไข้ไม่สบายของหญิงตั้งครรภ์ ที่มีการใช้อยู่บ้างตามอาการของโรคที่พบบ่อยมีดังนี้
1. ยาลดไข้แก้ปวด ยาที่ถือว่าปลอดภัยที่สุด สำหรับทารกในครรภ์แม่ คือ ยาพาราเซตามอล (อะซีตามิโนเฟน) ในผู้ใหญ่จะใช้ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง เวลาปวดหรือเป็นไข้
2. ยาลดน้ำมูกแก้แพ้ ยาที่นิยมใช้และปลอดภัยที่สุด คือ ยาคลอร์เฟนิรามีน หรือยาเม็ดแก้แพ้อากาศเม็ดสีเหลือง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในผู้ใหญ่จะใช้ขนาดเม็ดละ 4 มิลลิกรัม ครั้งละครึ่ง-1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ยาลดน้ำมูกแก้แพ้ อาจทำให้ง่วงซึม หลังรับประทานยา แม่ตั้งครรภ์ควรพักผ่อน ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
3. ยาปฏิชีวนะ คุณแม่ตั้งครรภ์อาจเลือกใช้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เช่น เพนิซิลลิน-วี แอมพิซิลลิน หรืออะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์เเพทย์นิยมใช้ อะม็อกซีซิลลิน แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้มีการแพ้ยาสูงเป็นอันดับหนึ่ง จึงใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ไม่เคยมีประวัติแพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เพราะอาจเป็นอันตรายซึ่งในบางคนเป็นรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ผงเกลือแร่ ผงเกลือแร่จัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่สามารถใช้เพื่อทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ เนื่องจากท้องเสีย ท้องเดิน หรืออุจจาระร่วงได้ แต่ยาไม่ได้มีผลต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เพราะฉะนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจได้รับยาเพิ่มควรปรึกษาแพทย์
อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ว่าที่คุณแม่คงทราบดีแล้วนะคะว่า ยา นั้นอันตรายต่อทารกในครรภ์มากแค่ไหน หากมีปัญหาสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ ห้าม ซื้อยารับประทานเอง ควรปรึกษาสูติแพทย์ หรือเภสัชกร และควรพูดให้เป็นนิสัยว่า ขณะนี้คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่กี่เดือน เพื่อความปลอดภัยต่อลูกรักของเราค่ะ