ขาดโกรทฮอร์โมน
ขาดโกรทฮอร์โมน หรือการที่เด็กมีมีความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกตัวเตี้ยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แถมไม่มีทีท่าว่าจะสูงขึ้น ก็อย่าได้ชะล่าใจ เพราะลูกของท่านอาจจะเป็นโรคขาดฮอร์โมนเจริญเติบโตก็เป็นได้ มาเช็คกันเลยค่ะ...
ขาดโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) คืออะไร
ฮอร์โมน เจริญเติบโตจะถูกผลิตและสร้างออกมาจากต่อมใต้สมอง ซึ่งอยู่บริเวณกลางของศีรษะ ต่อมใต้สมองขนาดเล็กนิดเดียวแต่สร้างฮอร์โมนออกมาหลายชนิด หนึ่งในนั้นก็คือฮอร์โมนเจริญเติบโต ในเด็กที่มีปัญหาขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต ก็ หมายความว่า อาจจะมีความผิดปกติของต่อมใต้สมอง ซึ่งความผิดปกติหลัก ๆ มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1.ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น ต่อมใต้สมองอาจจะมีขนาดเล็ก มีรูปร่างผิดปกติไป หรือว่าอาจมีพันธุกรรมบางอย่างทำให้การสร้างฮอร์โมนผิดปกติ
2.ความผิดปกติเกิดขึ้นมาภายหลัง เช่น อาจจะมีก้อนเนื้อไปกดต่อมบริเวณนี้ เด็กอาจจะได้รับอุบัติเหตุ มีการบาดเจ็บในศีรษะชนิดรุนแรง มีการผ่าตัด หรือมีการเอกซเรย์ในศีรษะเพื่อรักษาโรคบางอย่างแล้วไปทำลายหรือรบกวนต่อมใต้สมอง ทำให้ต่อมสร้างหรือผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโตไม่ได้ ถามว่าโรคนี้พบบ่อยหรือไม่ ก็ไม่ถึงกับบ่อยมาก แต่พบได้พอสมควร ซึ่งในบ้านเรายังไม่มีการสำรวจที่ชัดเจน ถ้าไปดูอุบัติการณ์ในต่างประเทศอาจพบ 1 : 3 หมื่น ถึง 1 : 4 หมื่น ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ไปสำรวจ หรือสำรวจด้วยวิธีใด และใช้กฎเกณฑ์อย่างไร
ขาดโกรทฮอร์โมน เป็นอย่างไร
อาการเเสดงของภาวะขาดโกรทฮอร์โมนที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตเห็นได้เอง ได้แก่
1.อาการแสดงในวัยเเรกเกิด – วัยเด็กเล็ก ของภาวะขาดโกรทฮอร์โมน
- ตัวเตี้ยวผิดปกติเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
- ตัวเล็ก และมักมีภาวะน้ำตาลต่ำอยู่บ่อยๆ
- ปากแหว่ง ตั้งแต่แรกเกิด
- เพดานโหว่ตั้งแต่แรกเกิด
- ท่อนกลางของลำตัวมีความผิดปกติ
- ทารกเพศชายมีความผิดปกติของอวัยวะเพศ
2.อาการแสดงของ ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน ตอนโต
- การเจริญเติบโตช้าเมื่อเปรียบเทียบกับเพ่อนๆวัยเดียวกัน
- ตัวเตี้ยแต่มีพุงจ้ำม่ำ มีไขมันไปพอกตามที่ต่างๆของร่างกาย
- เสียงเล็กแหลม
- ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
- โครงหน้าเหมือนตุ๊กตา ใบหน้าจะหวำลึงลงไป หน้าฝากจะนูนเล็กน้อย
การวินิจฉัยภาวะ ขาดโกรทฮอร์โมน
การวินิจภาวะภาวะขาดโกรทฮอร์โมน ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะการรักษามีวิธีเดียวคือการฉีดยา คือ การให้ฮอร์โมนทดแทน ซึ่งจะต้องฉีดยาทุกวัน สัปดาห์ละประมาณ 6-7 วัน วิธีการตรวจได้แก่
- การตรวจเอกซเรย์ดูอายุกระดูก เด็กกลุ่มนี้จะมีอายุกระดูกช้ากว่าความเป็นจริง เช่น เด็กอายุ 7 ขวบ อายุกระดูกอาจจะอ่านได้ 3-4 ขวบ ซึ่งการดูกระดูกได้จากการเอกซเรย์มือซ้าย แล้วไปเปรียบเทียบกับภาพมาตรฐานว่า อายุกระดูกเด็กเป็นค่าเท่าไหร่
- ทำฮอร์โมนเทส หรือการตรวจเช้คระดับฮอร์โมน เพื่อดูว่าเด็กฮอร์โมนต่ำหรือสูง เนื่องจากระดับฮอร์โมนมีการหลั่งขึ้นลงเป็นรูปคลื่นตลอดเวลา แพทย์ต้องทำการทดสอบ 2 ครั้งเพื่อเปรียบเทียบกัน
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อจะดูลักษณะของต่อมใต้สมองว่าต่อมเล็ก หรือมีความผิดปกติ มีก้อน มีซีสต์อะไรไปกดเบียดต่อมหรือไม่อย่างที่บอกต่อมใต้สมองไม่ได้สร้างฮอร์โมนเจริญเติบโตตัวเดียว แต่จะสร้างฮอร์โมนตัวอื่นร่วมด้วย เช่น ฮอร์โมนที่มาควบคุมต่อมไทรอยด์ ฮอร์โมนในการควบคุมปัสสาวะ
- สอบถามประวัติตัวเตี้ยร่วมกับปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ปัสสาวะรดที่นอน หรือปัสสาวะเยอะ
- ตรวจการมองเห็น เพราะ ส่วนมากพบว่าเด็กกลุ่มนี้มักมีก้อนที่ไปเบียดดกเส้นจอประสาทตา ทำให้เกิดการมองเห็นผิดปกติ
- ตรวจหาความผิดปกติอย่างอื่น เช่นก้อนในสมอง พยาธิในสมอง หากมี จะพบว่าผู้ป่วยมักมาด้วยอาการปวดศีรษะบ่อยๆ
ขาดโกรทฮอร์โมน รักษาได้หรือไม่
ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน มี วิธีเดียวในการรักษาคือ การให้ฮอร์โมนทดแทนด้วยวิธรการฉีด และต้องฉีดยาทุกวัน พ่อแม่อาจฉีดให้ หรือเด็กโตอาจฉีดด้วยตัวเอง โดยใช้เข็มเล็ก ๆ ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหน้าขา แต่ยามีราคาค่อนข้างแพง การรักษาเด็กแต่ละรายต้องใช้เงินหลายหมื่นบาทต่อเดือน เมื่อฉีดฮอร์โมนไปแล้ว การติดตามการรักษาก็สำคัญ เพราะต้องดูว่าเด็กเจริญเติบโตขึ้นมาหรือไม่ ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติหรือไม่ การเจริญเติบโตของกระดูกเป็นอย่างไร การรักษาเด็กกลุ่มนี้จะได้ผลดีที่สุดต้องก่อนเด็กเข้าวัยรุ่น ถ้าเข้าสู่วัยรุ่นไปแล้วกระดูกอายุมากขึ้นการรักษามักไม่ได้ผล การรักษาไปจนกว่าได้ความสูงตามที่ควรจะเป็น หลังจากนั้นเมื่อเด็กหยุดโตจะนำเด็กมาตรวจเพิ่มเติมอีกครั้งว่า เด็กคนนี้ยังขาดฮอร์โมนเมื่อเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วยังขาดฮอร์โมนเจริญเติบโตก็อาจจำเป็นต้องให้ฮอร์โมน แต่ระดับฮอร์โมนที่ใช้ในการรักษาผู้ใหญ่มีปริมาณค่อนข้างน้อยไม่เยอะเหมือนในวัยเด็ก เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ขาดโกรทฮอร์โมนต้องไปพบแพทย์เมื่อไหร่
- ถ้ารู้สึกว่าลูกโตไม่เท่าเพื่อน ๆ หรือพี่น้องคนอื่น ๆ โดยเฉพาะพี่น้องท้องเดียวกัน คนพี่ดูตัวเล็กกว่าคนน้อง
- วัดความสูงเด็กแล้วความสูงไม่เพิ่มขึ้น โดยมีตัวเลขคร่าว ๆ ว่า ถ้าเด็กอายุ 4-10 ขวบ ปีหนึ่งโตไม่ถึง 5 เซนติเมตร ถือว่าค่อนข้างตัวเล็กกว่าที่ควรจะเป็น
- ถ้าพ่อแม่เห็นกราฟการเจริญเติบโตของลูก ซึ่งมักจะมีอยู่ในสมุดคู่มือตรวจสุขภาพ พบว่าความสูงของลูกเบี่ยงจากเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็น
- เด็กตัวเตี้ยร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะบ่อย ๆ มีปัญหาทางสายตา ปวดศีรษะบ่อย ๆ คลื่นไส้อาเจียน ควรมาปรึกษาแพทย์
คุณพ่อคุณแม่ ควรใส่ใจในทุกพัฒนาการของลูกน้อยตั้งแต่แบเบาะ เพราะโรคบางโรคต้องได้รับการตรวจรักษาให้เร็วที่สุดถึงจะได้ผล อย่าเก็บความสงสัยไว้คนเดียว หากพบความผิดปกติถึงจะเพียงแต่เล็กๆน้อยๆ ควรปรึกษาเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่วันนี้นะคะ เพื่อให้ลูกมีสุขภาพดีและการเจริญเติบโตสมวัยค่ะ
บทความแนะนำเพิ่อมเติม
1. พี่อิจฉาน้อง ป้องกันอย่างไรดี
2. กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์คืออะไร อันตรายต่อเด็กหรือไม่?
3. 10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาดและมีวิทยาศาสตร์รองรับ
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team