7 อาการเตือนที่บ่งบอกว่า ลูกติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus) เข้าแล้ว

01 December 2016
22211 view

โนโรไวรัส

เชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)คืออะไร

การติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส (Norovirus) ซึ่งมีชื่อเดิมว่า Norwalk virus เป็นสาเหตุของการระบาดของการติดเชื้อท้องเสียที่ไม่ใช่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อยที่สุดในโลก การติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหาร น้ำดื่มที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อน หรือผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีการปนเปื้อน เช่น จาน ชาม ช้อน นั่นเอง


ติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)มีอาการอย่างไร

ส่วนใหญ่มักทำให้มีอาการอาเจียน ปวดท้องและท้องเสีย ภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อนี้ หรือแม้แต่การสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยรายอื่นๆก็สามารถติดได้ และอาการท้องเสียมักจะดีขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการป่วย อาการที่พบบ่อย คือ

  1. คลื่นไส้ อาเจียน
  2. ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
  3. ปวดท้อง
  4. อาการที่อาจจะพบได้ คือ
  5. ปวดศีรษะ
  6. มีไข้
  7. ปวดเมื่อยตัว

แม้ว่าอาการคลื่นไส้อาเจียนจะดูรุนแรงพอสมควร แต่การตรวจร่างกายมักจะไม่มีอาการปวดเฉพาะที่หรือปวดเกร็งของหน้าท้อง ทำให้แยกการวินิจฉัยแยกโรคจากสาเหตุอื่นๆ ที่มีอาการและอาการแสดงที่คล้ายกันได้ยาก เช่น ภาวะลำไส้กลืนกัน ไส้ติ่งอักเสบ การติดเชื้ออาหารเป็นพิษด้วยเชื้ออื่นๆ สำหรับรายที่มีอาการอาเจียนและถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาดน้ำ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก มีชีพจรเบาเร็ว และมีความดันโลหิตต่ำได้

เชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)วินิจฉัยอย่างไร

โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูการติดเชื้อ Norovirus

การรักษาอย่างไรเมื่อติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)

ปัจจุบันยังไม่มียาเฉพาะเจาะจงในการขจัดเชื้อไวรัสนี้ การรักษาจึงเป็นการดูแลตามอาการที่เกิดขึ้น และส่วนใหญ่อาการต่างๆ จะดีขึ้นได้ในเวลา 3-4 วัน

  • ในรายที่อาการไม่รุนแรง ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ ในกรณีที่มีอาเจียนและท้องเสีย ให้ทานอาหารอ่อน และให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ตามอาการ

  • ในรายที่มีภาวะขาดสารน้ำค่อนข้างมาก หรือมีอาเจียน ปวดท้อง และถ่ายตลอด อาจเกิดอันตรายจากการขาดน้ำ ทำให้ช็อค ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้ จึงควรพิจารณาให้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด และติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด

ผู้ป่วยที่จะมีโอกาสเกิดอันตรายจากการขาดน้ำได้แก่ ผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆอยู่แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อทั้งในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่

การป้องกันการติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)ทำได้อย่างไร

ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันเชื้อโนโรไวรัสนี้ การป้องกันโดยทั่วไปคือ การดูแลสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ จะช่วยลดปัญหาการติดเชื้อนี้ได้เพราะเป็นโรคที่ติดต่อง่ายมาก วิธีป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ คือ

  1. ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 15 วินาที หลังการเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และก่อนทำอาหารหรือกินอาหาร (อาจใช้เจลล้างมือที่เรียกว่า Alcohol-based hand sanitizer ได้ แต่แนะนำให้ล้างมือด้วยสบู่จะดีกว่า)
  2. หลีกเลี่ยงน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด เพราะเชื้อจะสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในน้ำได้นาน
  3. ล้างผัก ผลไม้สด ให้สะอาด ทำหอยนางรมหรือหอยชนิดอื่นให้สุกก่อนกิน
  4. ทิ้งเศษอาเจียนและอุจจาระอย่างระมัดระวังโดยใช้ผ้าชุปน้ำหมาดๆซับไม่ให้มีการฟุ้งกระจาย และทิ้งลงในถุงพลาสติก
  5. ผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระ แยกเสื้อผ้าคนป่วยซักต่างหากและต้องรีบซักให้สะอาดโดยเร็วหรือทิ้งให้เหมาะสม
  6. เช็ดทำความสะอาดพื้นที่ปนเปื้อนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของคลอรีน
  7. ผู้ป่วยต้องงดการประกอบอาหาร เพราะสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้หลังจากมีอาการเป็นระยะเวลา 3 วัน
  8. เด็กควรงดไปโรงเรียนหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็กเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
  9. หลีกเลี่ยงการเดินทางจนกว่าจะหายเป็นปกติ

หากไม่แน่ใจว่าติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส(Norovirus)หรือไม่ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่

1. การขับถ่ายของทารก

2. วิธีรับมือเมื่อลูกน้อยถ่ายยาก

3. ปัญหาเด็กท้องผูก

เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team

ขอบคุณข้อมูล  : โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์