สำนักข่าวประเทศจีนรายงานว่า เด็กชายวัย 9 ขวบถูกพ่อแม่ที่รับอุปถัมภ์ทำร้ายทารุณอย่างโหดเหี้ยม มีบาดแผลฟกช้ำไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะแผ่นหลังของเด็ก กรณีที่กลายเป็นประเด็นข่าวโด่งดัง หลังจากที่ครูประจำชั้นของเด็กชายทราบเรื่องและตีแผ่เรื่องดังกล่าว
ตามรายงานระบุว่า ภาพถ่ายร่องรอยอาการบาดเจ็บของเด็กชายวัย 9 คน จากเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์เมืองจีน หลังมีการโพสต์รูปดังกล่าวลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งมีข้อมูลระบุไว้ว่าเด็กชายคนดังกล่าวถูกรับอุปถัมภ์โดยพ่อแม่บุญธรรมที่เมืองหนานจิง กระทั่งเมื่อปี 2557 คุณครูประจำชั้นของเด็กชายคนนี้บังเอิญสังเกตเห็นร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเด็ก ตอนแรกคุณครูคิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ปรากฏว่าบาดแผลยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ และไม่เคยหาย อีกทั้งเด็กชายยังมีอาการเหงาซึมและหวาดกลัว คุณครูประจำชั้นของเด็กชายพยายามสืบเสาะหาสาเหตุของร่องรอยบาดแผลบนตัวเด็ก แต่ก็ได้ข้อมูลไม่มากนัก จึงตัดสินใจนำเอาภาพและเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์ มาเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อหวังว่าจะได้ข้อมูลและได้รับการช่วยเหลือจากสังคมออนไลน์
ทั้งนี้ ภายหลังจากภาพทารุณเด็กชายเผยแพร่ออกไป สื่อท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งสืบสวนหาสาเหตุในทันที ล่าสุดพ่อแม่บุญธรรมของเด็กชายคนนี้ถูกควบคุมตัวได้แล้ว ส่วนเด็กชายถูกช่วยเหลือเอาไว้และจะมีการปรึกษากับทางสังคมสงเคราะห์ต่อไปเบื้องต้นทราบว่า เด็กชายถูกพ่อแม่บุญธรรมทำร้ายทารุณจริง ด้วยวิธีใช้ท่อไอน้ำความร้อนจี้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้ง เฆี่ยนตีใส่แผ่นหลัง หรือ ใช้ปากกาแทงใบหน้า นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า พ่อแม่บุญธรรมของเด็กคนนี้เป็นทนายความที่ได้รับการยอมรับ ส่วนอีกคนทำงานสายข่าวอยู่ที่สำนักข่าวแห่งหนึ่ง และแล้ว ศาลก็สั่งจำคุกแม่บุญธรรมคนนี้ เป็นเวลา 6 เดือน แต่ค้านสายตาคนจีนทั้งประเทศ เพราะทุกคนต่างบอกว่า คดีนี้ แม่บุญธรรมควรได้รับโทษ นาน 3 ปีถึงจะสาสมกับความผิดที่เธอได้ทำลงไป
และเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2559 นาง นางหลี เจิ้งฉิน แม่บุญธรรมที่เฆี่ยนตีลูกชายจนแผ่นหลังและตามตัวเต็มไปด้วยรอยห้อเลือดเพราะทำการบ้านไม่เสร็จ ได้พ้นโทษออกจากคุกแล้ว แม่แท้ๆและลูกบุญธรรมเหยื่ออารมณ์ กลับให้การต้อนรับ แม่บุญธรรมใจร้ายรายนี้เป็นอย่างดี จนทุกคนแอบสงสัยไม่ได้ ว่าทำไม่แม่แท้ๆของเด็กถึงไม่โกรธเธอ สิ่งแรกที่แม่แท้ๆของเด็กเจอหนเ้าแม่บุญธรรม เธอกลับคุกเข่าคล้ายกับขอโทษเธอ
ขอบคุณข้อมูล : sanook